อาหารเช้าแบบอเมริกัน
อาหารเพื่อสุขภาพ

ความแตกต่างระหว่าง อาหารเช้าแบบอเมริกัน กับอาหารเช้าแบบยุโรป ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

อาหารเช้าแบบอเมริกัน กับอาหารเช้าแบบยุโรป จะมักเห็นว่าเวลาที่เราเข้าพักในโรงแรมไม่ว่าจะเป็นในต่างจังหวัดหรือในกรุงก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาหารเช้าให้ 1 มือฟรี ๆ ซึ่งก็จะมีให้เลือกได้ทั้งอาหารไทย อาหารจีนและอาหารฝรั่ง ด้วยความรีบร้อนแขกผู้มาพักมักจะเลือกกินอาหารง่าย ๆ แต่ให้พลังงานสูง ซึ่งก็ควรเป็นอาหารเช้าแบบอเมริกัน หรืออาหารเช้าแบบยุโรป ซึ่งอาหารเช้าทั้งสองอย่างจะมีความแตกต่างกัน และควรรับรู้ไว้จะได้เลือกได้ถูกต้องไม่อายใคร ดังนี้

อาหารเช้าแบบอเมริกัน

วิธีทำ อาหารเช้าแบบอเมริกัน และอาหารเช้าแบบยุโรป

อาหารเช้าแบบอเมริกัน

อาหารเช้าแบอเมริกัน จะประกอบด้วย

  • เครื่องดื่ม ซึ่งอาจเป็นชาหรือกาแฟ น้ำผลไม้ หรือนมสดให้เลือกตามชอบ
  • ผลไม้สดตามฤดูกาล
  • ขนมปังปิ้ง ทานกับแยมหรือเนย หรืออาจเลือกเป็นแพนเค้ก วาลเฟิลด้วยก็ได้

ส่วนอาหารหลักของอาหารเช้าแบบอเมริกันจะได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งจะมีทั้งแฮม เบคอน ซอสเซท ซึ่งทางโรงแรมจะใส่ไว้ในถาดให้เลือกหยิบได้โดยสะดวก

จากนั้นก็จะมีไข่ ซึ่งก็จะเลือกได้ว่าต้องการเป็นไข่ประเภทไหนอ ชอบสุกหรือไม่สุกอย่างไร ก็สามารถสั่งได้พ่อครัวทำให้ได้ ตามต้องการ เช่น ถ้าเป็นไข่ดาวซึ่งส่วนใหญ่ก็จะชอบแบบไข่แดงไม่สุกมากนัก ไข่ม้วนได้แก่ ไข่ผสมเนย โรยด้วยหอมหรือมะเขือเทศ แล้วนำไปม้วนเพื่อทอดในกระทะ ไข่คนมีส่วนผสมเหมือนไข่ม้วน แต่วิธีทอดต้องนำไปทอดในกระทะแล้วคน ๆ ให้ไข่แดงแตกรวมกันไข่ขาว ไข่น้ำ ก็คือไข่ลวกที่ผสมน้ำนั่นเอง ให้ตอกไข่ใส่น้ำร้อนที่ไม่เดือดมาก รอให้ไข่ขาวสุก ไข่แดงจะออกเยิ้ม ๆ เหมาะกับผู้ที่ชอบไข่ดาวและไม่ต้องการทอดกับน้ำมันในกระทะ ทั้งนี้เพื่อการหลีกเลี่ยงคอลเลสเตอรอลนั่นเอง

อาหารเช้าแบบยุโรปเป็นอาหารเช้า ที่ไม่เหมือนกับของทางอเมริกันตรงที่ไม่เน้นเนื้อสัตว์ แต่จะเน้นพวกผลไม้ ชา กาแฟมากกว่า อาจเป็นอาหารมื้อไม่ใหญ่มากเหมือนอเมริกัน ซึ่งส่วนมากแล้วจะประกอบด้วย

อาหารเช้าแบบอเมริกัน
  • เครื่องดื่มเป็นหลัก ได้แก่ ชา กาแฟ นมสด โกโก้ น้ำผลไม้ แต่เท่าที่เห็นมาส่วนใหญ่มักเป็นชา เช่นชามะลิ เป็นต้น
  • ขนมปัง หรือประเภทครัวซองเสียเป็นส่วนใหญ่
  • ชีสหั่น เพื่อเอาไว้กินกันขนมปัง
  • โยเกิร์ต
  • ผลไม้สด ตามฤดูกาล ถ้าเป็นในโรงแรมบ้านเราก็มี แตงโม สับปะรด มะละกอ แก้วมังกร กล้วย เป็นต้น
  • ซีเรียล ประเภทธัญพืชทั้งอบ หรือแห้ง เพื่อแกล้ากับนมสด

สรุปแล้วทั้ง อเมริกัน (ABF) และ ยุโรป (CBF) จะมีข้อแตกต่างหลัก ๆ ได้แก่

ABFจะเน้นไปที่เนื้อสัตว์เป็นหลัก แต่สำหรับ CBF จะไม่เน้นเนื้อสัตว์

ABFจะเน้นเป็นอาหารมื้อหลัก แต่ CBF จะเป็นอาหารที่มื้อเบา ๆ มากกว่า

ABFจะมีอาหารให้เลือกมากกว่า CBF อาจมีเพียงอย่างเดียว

 รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด และวิธีทำอาหาร อาหารเช้า ยอดนิยม ทำง่าย อร่อยได้ในเช้าที่เรียนและทำงาน ที่สุดจะง่ายไปกับเรา

ขาหมูผัดกระเพรา
อาหารทั่วไป เคล็ดลับการทำอาหาร แนะนำร้านอาหาร

ขาหมูผัดกระเพรา สำหรับเมนูนี้ เป็นเมนูเคลียร์ขาหมูน้ำแดงที่นำมาประยุกต์เป็นเมนูกระเพราขาหมูแสนอร่อย

          ขาหมูผัดกระเพรา  สำหรับเมนูนี้เป็นเมนูเคลียร์ขาหมูน้ำแดงจากที่เราแช่เย็นไว้จากการรับประทานขาหมูน้ำแดงในมื้ออื่นๆ เนื่องด้วยขาหมูที่ซื้อมาเป็นขาหมูที่ผ่านการต้มแล้ว และมีขนาดใหญ่มากทำให้เราไม่สามารถรับประทานได้หมดในมื้อ หรือ วันเดียว แต่หากให้คนที่บ้านจะรับประทานเป็นเมนูขาหมูน้ำแดงอีกก็คงจะเบื่อเอาได้ เราจึงนำวัตถุดิบนี้มาประยุกต์เป็นเมนูกระเพราขาหมู สำหรับรสชาติจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด จะอร่อยถูกปากคนที่บ้านเพิ่มหรือไม่ เราไปดูพร้อมๆ กันเลย

ขาหมูผัดกระเพรา

วิธีทำ วัตถุดิบ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเมนู ขาหมูผัดกระเพรา

1.ขาหมูน้ำแดง ประมาณครึ่งขา

2.กระเทียม ปริมาณ 3 -5 กลีบ

3.พริกขี้หนู ปริมาณ 3 -5 เม็ด

4.ใบกระเพรา ปริมาณ 1 กำมือ

5.น้ำมันพืช

6.น้ำปลา 1/2 ช้อนชา

ขาหมูผัดกระเพรา

อุปกรณ์การทำขาหมูผัดกระเพรา

1.กระทะ

2.ตะหลิว

กรรมวิธีการทำขาหมูผัดกระเพรา

ขาหมูผัดกระเพรา

1.นำขาหมูน้ำแดงที่แช่เย็นไว้ ออกมาจากตู้เย็นแล้วตั้งพักไว้

2.นำพริกขี้หนูมาล้างให้สะอาด จากนั้นเด็ดขั้วพริกออก

3.ทุบพริกขี้หนู ปริมาณ 3 -5 กลีบ และกระเทียม ปริมาณ 3 – 5 เม็ด

4.เด็ดใบกะเพราปริมาณ 1 กำมือ ล้างให้สะอาด แล้วตั้งให้สะเด็ดน้ำเตรียมไว้

5.นำขาหมูน้ำแดงมาฉีกๆ เป็นชิ้น (ขนาดให้พอดีคำ)

6.นำกระทะมาตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย รอจนน้ำมันร้อนได้ที่

7.ใส่พริกและกระเทียมลงไปทอด จนหอมได้ที่

8.จากนั้นเติมขาหมูน้ำแดงที่ฉีกไว้ลงไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่ต้องนานมากนัก เพราะขาหมูน้ำแดงสุกอยู่แล้ว

9.ใส่น้ำปลาลงไป 1/2 ช้อนชา ผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน

10.เติมใบกะเพราลงไปผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน ตักใส่จานพร้อมเสริฟ์ สำหรับเมนูขาหมูผัดกระเพรานี้เป็นเมนูประยุกต์กับข้าวในมื้อก่อนหน้าเพื่อไม่ให้เหลือทิ้ง และปรับปรุงรสชาติให้แตกต่างจากเดิมชวนรับประทาน เมนูนี้จะได้ความหวานจากขาหมูน้ำแดงเดิมผสานกับกลิ่นและรสของเครื่องกระเพรา รับรองได้ว่าถูกใจถูกปากกันใครหลายคนกันอย่างแน่นอน

 รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด และวิธีทำ แกงป่ากระดูกหมู สูตรง่าย ๆ ตามชอบ อร่อยติดใจ ทำกินเองที่บ้าน

พิซซ่าหน้าเปปเปอโรนี
อาหารทั่วไป เคล็ดลับการทำอาหาร

ทำ พิซซ่า ทานเองไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป กับ พิซซ่าหน้าเปปเปอโรนี รสชาติกลมกล่อมแบบอิตาเลียน

            พิซซ่าหน้าเปปเปอโรนี เป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ถือว่าเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้คนทั่วโลก เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักเลยทีเดียว เป็นเมนูที่ขายในร้านอาหารจำพวกฟาสต์ฟูดด้วย เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งและหน้าหรือเครื่องที่ใส่ลงไปเพื่อปรุงรสชาติ เพิ่มความอร่อยให้มากยิ่งขึ้น สำหรับการทำเปปเปอโรนี มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนในการทำ พิซซ่าหน้าเปปเปอโรนี ที่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ มาดูกัน

ทำแป้งพิซซ่า

            เริ่มจากการทำแป้ง โดยการใช้แป้งสำเร็จรูปก็ได้ เพื่อความรวดเร็ว หรือหากทำแป้งเอง ก็ใช้แป้งอเนกประสงค์ เบกกิ้งโซดา ผงฟู น้ำตาลและเกลือ เติมน้ำแล้วผสมไข่และน้ำมันให้เข้ากัน นำไปพักไว้ เมื่อแป้งพร้อมแล้ว ก็นำแป้งมานวด แบ่งเป็นก้อน นำไม้คลึงแป้งมากดให้แบน ตามขนาดของพิซซ่าที่ต้องการ จากนั้นก็ทาเนยลงบนแป้งให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมขั้นตอนต่อไป

จัดหน้าเปปเปอโรนี

นำวัตถุดิบสำหรับใช้เป็นหน้าของพิซซ่า ซึ่งหน้าแบบเปปเปอโรนีนั้น จะต้องทาซอสมะเขือเทศเข้มข้น ใส่มอสซาเรลลาชีสลงไป ใส่แฮม เบคอนทอดกรอบ ไส้กรอก ใบโหระพา เป็นต้น ตามที่ต้องการ วางชีสลงไปอีกชั้นหนึ่งให้ทั่ว ๆ ถาด วางเปปเปอโรนีลงไปบนหน้าพิซซ่า ทาเนยแล้วม้วนขอบแป้งเข้าหากัน สามารถใส่ชีสที่ขอบเพิ่มตามใจชอบได้ เท่านี้ก็จะได้ท็อปปิ้งที่พร้อมสำหรับการนำเข้าอบแล้ว เปิดเตาอบหรือไมโครเวฟแล้ววอร์มไว้สักครู่

           เมื่อเตาอบหรือไมโครเวฟได้ที่แล้ว ก็ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 350 – 400 องศาฟาเรนไฮต์ ใช้เวลาอบประมาณ 20 – 25 นาที เมื่ออบเสร็จแล้ววนำมาพักไว้ ใส่ซอสรสชาติต่าง ๆ ตามต้องการ เช่น ซอสพริก มัสตาร์ด มะเขือเทศ มายองเนส เป็นต้น แล้วโรยผงออริกาโนลงไปก่อนรับประทาน เพื่อเพิ่มกลิ่นให้หอมและน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นนั่นเอง รับรองว่ารับประทานร้อน ๆ กลิ่นหอมหอมพิซซ่าและความหอมของซอสและเครื่องเทศจะทำให้คุณหลงรักเมนูนี้อย่างแน่นอน 

รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด และวิธีทำ อาหารเช้า ยอดนิยม ทำง่าย อร่อยได้ในเช้าที่เรียนและทำงาน

หมูสามชั้นทอดขมิ้น
อาหารทั่วไป แนะนำร้านอาหาร

หมูสามชั้นทอดขมิ้น เมนูที่ใครได้ลองแล้วจะติดใจถึงรสชาติความอร่อยชวนลิ้มลอง

          หมูสามชั้นทอดขมิ้น ขมิ้นสมุนไพรสีเหลืองช่วยให้ผิวขาว แต่หากกล่าวถึงเรื่องอาหารขมิ้นก็เป็นพืชสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (ชะลอการแก่ก่อนวัยอันควร) อยู่เป็นจำนวนมาก เมนูขมิ้นส่วนใหญ่ก็มักเป็นใช้วัตถุดิบพวกอาหารทะเลมาทำ อย่าง ปลา หรือ ปู หรือ กุ้ง เป็นต้น แต่สำหรับวันนี้เราจะใช้วัตถุดิบเป็นหมูสามชั้นมาทอดกับขมิ้นกัน เราไปดูกันว่าหมูสามชั้นกับขมิ้นจะมาพบกันที่จุดไหน และจุดนั้นอร่อยชวนลิ้มรสอย่างไร

หมูสามชั้นทอดขมิ้น

วิธีทำและวัตถุดิบที่ใช้เมนู หมูสามชั้นทอดขมิ้น

1.หมูสามชั้นปริมาณครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 กรัม

2.ขมิ้น 2 – 3 แง่ง

3.พริกไทยดำประมาณ 10 เม็ด

4.เม็ดผักชีประมาณ 10 เม็ด

5.ใบมะกรูด 5 – 10 ใบ

6.น้ำมันพืช

7.น้ำปลา 1/2 ช้อนชา

หมูสามชั้นทอดขมิ้น

อุปกรณ์

1.มีดสำหรับหั่นหมูสามชั้น

2.เขียง

3.จานสำหรับพักหมูสามชั้น

4.ครก

5.สาก

6.กระทะ

7.ตะหลิว

หมูสามชั้นทอดขมิ้น

กรรมวิธีการทำ

1.นำหมูสามชั้นมาล้างให้สะอาด ตั้งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นหั่นหมูสามชั้นให้มีขนาดเล็กลง (ขนาดพอดีคำ) จากนั้นใส่จานพักที่เตรียมไว้

2.นำขมิ้น 2 – 3 แง่ง มาล้างให้สะอาดแล้วปอกเปลือกออก จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในครก

3.จากนั้นใส่เม็ดพริกไทยดำ และเม็ดผักชีรวมไปกับขมิ้น แล้วทำการตำหยาบๆ

4.นำเครื่องปรุงในครกทั้งหมดมาขยำคลุกเคล้ากับเนื้อหมูสามชั้นที่หั่นเตรียมไว้

5.นำใบมะกรูดมาล้างน้ำให้สะอาด ตั้งจนสะเด็ดน้ำ แล้วนำมาตัดเส้นกลางใบออก

6.นำกระทะมาตั้งไฟ ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย แล้วเอียงให้น้ำมันทั่วกระทะ เพื่อป้องกันเนื้อหมูสามชั้นติดกระทะ และที่ไม่ต้องใส่น้ำมันไปเยอะ เพราะจะมีน้ำมันจากหมูสามชั้นออกมาอีก

7.เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ใส่หมูสามชั้นที่คลุกเคล้าเครื่องปรุงลงไป โดยเปิดไฟอ่อนๆ ก่อน ให้น้ำมันจากหมูสามชั้นออกมาเล็กน้อยจากนั้นเปิดไฟแรงขึ้น ทอดหมูสามชั้นไปจนใกล้สุก (ช่วงนี้กลิ่นของขมิ้นที่โดนความร้อนจะส่งกลิ่นหอมโชยชวนรับประทาน)

8.เติมใบมะกรูดที่เตรียมไว้ลงไปในกระทะ

9.ใส่น้ำปลา 1/2 ช้อนชาลงไปในกระทะ ผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูหมูสามชั้นทอดขมิ้นที่ส่งกลิ่นหอมโชยทั้งหมู่บ้านกันเลยทีเดียว

 รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหาเด็ด และวิธีทำ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่สุดจะง่ายไปกับเรา

แกงไตปลา
อาหารทั่วไป อาหารไทย

แกงไตปลา อาหารท้องถิ่นของคนภาคใต้ ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก เมนูขึ้นชื่อที่แสนอร่อย

                แกงไตปลา อาหารท้องถิ่นภาคใต้ถือว่าเป็นอาหารไทย ด้วยรสชาติของอาหารที่มีความเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว สามารถทานกับพืชผัก สมุนไพรพื้นบ้าน ซึ่งวัตถุดิบในการทำแกงไตปลานั้นแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของแต่ละท้องถิ่น

วัตถุดิบที่ใช้ทำ แกงไตปลา มีอะไรบ้าง ?

แกงไตปลา

                แกงไตปลา หรือ แกงพุงปลา เป็นอาหารที่แสดงถึงเอกลักษณ์ท้องถิ่นภาคใต้ ที่เรียกว่า แกงไตปลานั้น มาจากวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นแกง ไตปลามาจากไส้ของปลาชนิดต่างๆ มีกลิ่นหอม รสชาติค่อนข้างเค็ม ไตปลาเป็นการถนอมอาหารแบบหมักด้วยเกลือ ปลาที่นำมา
ใช้ทำเป็นแกงมีหลายชนิด ได้แก่ ปลาช่อน ปลาทู ปลากระดี่ จะเลือกใช้เฉพาะเครื่องในปลาเท่านั้น ได้แก่ ตับปลา ไส้ปลา และไตปลา ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ไตปลาช่อนมาทำเป็นแกง เนื่องจากมีรสชาติหวานมากกว่าปลาชนิดอื่นๆ

แกงไตปลา

                แกงไตปลาส่วนใหญ่รสชาติจะเผ็ดร้อน รสชาติเผ็ดมาจากพริกขี้หนู รสร้อนแรงมาจากพริกไทยดำ อีกทั้งสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความหอม ช่วยเพิ่มรสชาติที่จัดจ้านมากขึ้น เครื่องแกงของแกงชนิดนี้ คือ เครื่องแกงกะทิ มีส่วนประกอบ คือ ดีปลีสด หอม กระเทียม ตะไคร้
พริกไทย หรืออาจจะใส่เคยเข้าไปบ้างเล็กน้อย แล้วโขลกเข้าด้วยกัน วัตถุดิบในการทำแกงชนิดนี้แต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น บางท้องถิ่นจะใช้หัวมันแทนการใช้ฟักทอง หรือบางท้องถิ่นจะใช้หน่อไม้ แกงชนิดนี้มักจะทานพร้อมกันกับผักพื้นบ้าน ได้แก่ ใบมันปู สะตอ ลูกเนียง กระถิน ถั่วพู ถั่วฝักยาว เป็นต้น แกงชนิดนี้สามารถทานพร้อมกับข้าวสวยหรือขนมจีนได้

แกงไตปลา

                ปัจจุบันแกงไตปลาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมของคนไทยภาคใต้ เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี การผสมผสานวัตถุดิบต่างๆ คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงหลากหลายชนิด ที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคทั่วทั้งประเทศไทยนั้น เป็นการบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติในประเทศได้อีกด้วย

ติดตามข่าวสารมากมายของเราได้ที่ แนะนำเมนูอาหาร และ อาหารอีสาน อาหารท้องถิ่นที่หลายคนชื่นชอบ สามารถทำทานเองที่บ้านได้ง่าย ๆ

ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ
อาหารทั่วไป เคล็ดลับการทำอาหาร

เมนู ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ เมนูที่แสนจะง่ายเหมาะสำหรับคนที่ชอบทำอาหารทานเอง

              ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ ที่วันนี้เราขอมาแนะนำเมนูนี้กันเลย เมนูขาหมูต้มที่แตกต่างจากเดิมด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และหากเพื่อนๆ ได้ลองทำแล้วก็จะทราบว่าทำได้ง่ายรวมถึงรสชาติก็อร่อยแสนอร่อย จนต้องทำซ้ำกินซ้ำกันอีกแน่นอน เราไปดูกรรมวิธีการทำกันเลย

ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ

วัตถุดิบสำหรับเมนู ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ มีอะไรบ้าง ?

ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ

1.ขาหมู (ครั้งนี้เราใช้ขาหมูที่มีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม)

2.น้ำสะอาดสำหรับใช้ต้มขาหมู

3.ซอสเทอริยากิ 2 ช้อนโต๊ะกับอีกครึ่งช้อนโต๊ะ

4.ซีอิ้วดำ 2 ช้อนชากับอีกครึ่งช้อนชา

5.ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะกับอีกครึ่งช้อนโต๊ะ

6.น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

7.เกลือป่น

8.หอมหัวใหญ่หั่นตามยาวประมาณ 1 หัว

อุปกรณ์สำหรับเมนูขาหมูต้มซอสเทอริยากิ

1.หม้อแบบมีฝาปิด (ขนาดที่สามารถใส่ขาหมูที่ซื้อมาได้ทั้งขา)

2.ทัพพี

วิธีทำเมนูขาหมูต้มซอสเทอริยากิ

ขาหมูต้มซอสเทอริยากิ

1.เริ่มจากการนำขาหมูมาล้างให้สะอาด ตั้งให้สะเด็ดน้ำ

2.จากนั้นนำขาหมูใส่ลงหม้อที่เตรียมไว้ แล้วใส่น้ำสะอาดให้ท่วมขาหมู ปิดฝาหม้อ ต้มจนน้ำเดือด

3.หลังจากน้ำเดือดเป็นเวลาประมาณ 3 – 4 นาที เปิดฝาหม้อ แล้วใช้ทัพพีตักฟองน้ำไขกระดูกออก (เพื่อไม่ให้น้ำต้มขาหมูที่ได้ขุ่น)

4.จากนั้นใส่ซอสเทอริยากิลงไป 2 ช้อนโต๊ะกับอีกครึ่งช้อนโต๊ะ ตามด้วยซีอิ้วดำ 2 ช้อนชากับอีกครึ่งช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะกับอีกครึ่งช้อนโต๊ะ น้ำมันหอยอีก 1 ช้อนโต๊ะและสุดท้ายคือเกลือป่นเพียงเล็กน้อย

5.ปิดฝาหม้อแล้วต้มต่อด้วยไฟแรง จนน้ำเดือด หลังน้ำเดือดเป็นเวลาประมาณ 5 นาที ก็เบาไฟลง ปรับเป็นไฟอ่อนๆ แล้วต้มต่อให้เดือดต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง

6.เติมหอมหัวใหญ่หั่นลงไป แล้วต้มด้วยไฟอ่อน อีกประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จสิ้นสำหรับเมนูขาหมูต้มซอสเทอริยากิแสนอร่อย

               เคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างสำหรับเมนูนี้คือ หากเพื่อนๆ ทานในวันรุ่งขึ้นให้อุ่นขาหมูต้มเทอริยากิด้วยไฟแรงประมาณ 3 นาที แล้วต่อด้วยไฟอ่อนอีก 1 ชั่วโมง เพื่อนๆ ก็จะได้รับประทานต้มขาหมูเทอริยากิที่อร่อยทานได้ทั้งเนื้อ หนัง และเอ็นของขาหมูกันเลยทีเดียว

รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด และวิธีทำ ฟักตุ๋นมะนาวดอง ทำง่าย อร่อย ได้ประโยชน์สูง

กาแฟ
อาหารทั่วไป

เมนูเบเกอรี่ยอดฮิต รสหวานอมขมสุดเข้มข้น สำหรับ คนรักกาแฟ ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำเองได้

            คนรักกาแฟ คนส่วนมากชอบทานขนมปังและกาแฟก่อนไปทำงาน กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีรสขม ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ไม่ง่วง จะชงดื่มเดี่ยวหรือนำไปผสมอย่างอื่นเพื่อให้เกิดเมนูใหม่ ๆ ก็ได้ นอกจากนี้ ขนมเบเกอรี่ต่าง ๆ ก็เลือกใช้กาแฟเป็นตัวช่วยเพิ่มรสชาติให้กับขนมนั่นเอง เพื่อเป็นทางเลือกให้สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานขนมที่รสหวานมากจนเกินไปนั่นเอง 3 เมนูที่นิยม มีดังนี้

คนรักกาแฟ

3 เมนูเบเกอรี่ที่เหมาะกับคอ คนรักกาแฟ มีวิธีการทำอย่างไร ? มาดูกัน

เค้กกาแฟ

            เค้กนั้นเป็นขนมที่มีหลากหลายรสชาติยอดนิยม ไม่ว่าจะรสช็อคโกแลต สตรอเบอรี่ ชาเขียว เป็นต้น การเลือกเครื่องดื่มชนิดนี้เข้ามาช่วย ความเข้มข้นของกาแฟในแต่ละร้านที่ใช้นั้นก็จะต่างกันออกไป ดังนั้น รสชาติความขมหรือหวานก็แตกต่างกันด้วย คุณก็สามารถทำขนมด้วยตนเองได้ เพียงผสมแป้ง น้ำตาล และผงฟูเข้าด้วยกัน จากนั้นใช้ครีมสด น้ำตาลและผงกาแฟเพื่อทำครีมเค้ก ปาดครีมลงไปบนหน้าเค้กและตกแต่งให้สวยงาม ก็พร้อมรับประทาน

คนรักกาแฟ

พายกาแฟ

            ปกติแล้ว ขนมพายนั้นจะมีทั้งชั้นล่าง แป้งและไส้ของพาย เริ่มจากการการนำแครกเกอร์มาผสมเนยละลายแล้วนำมาบด ผสมแป้ง เกลือป่น น้ำตาลเข้าด้วยกัน ค่อยใส่น้ำเย็นจัด ให้แป้งนิ่ม จากนั้นก็นำมาแผ่ แบ่งส่วนให้เรียบร้อย จากไส้จากผงกาแฟ น้ำตาลและวิปครีม แต่งกลิ่นเล็กน้อยก็ได้ จากนั้นผสมเข้ากันแล้วใส่ลงในถาดพายที่เตรียมไว้ นำแป้งมาปิดหน้าขนม ใช้ส้อมกดริมขนมเพื่อปิดขอบให้สนิท เจาะบนหน้าขนม ให้อากาศระบายออก ก็ได้ขนมหอมหวานอมขมแล้ว

คนรักกาแฟ

ขนมปังกาแฟ

            อีกชนิดของเบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมและราคาหลากหลาย สามารถผสมกาแฟลงไปได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นผงโรยตกแต่งหน้าขนมปัง ผสมกับเนื้อของขนมปัง เป็นต้น เหมาะสำหรับรับประทานกับนมและไอศกรีมด้วย

            เมนูขนมหวานผสมกาแฟที่แนะนำมานี้ เป็นเบเกอรี่ที่เหมาะกับคอกาแฟมากเลยทีเดียว คนรักกาแฟต้องติดใจแน่นอน

รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด และ อาหารเพื่อสุขภาพ วิธีทำอาหารที่สุดจะง่ายไปกับเรา

ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย
อาหารทั่วไป อาหารไทย

สำหรับวันนี้เราจะมานำเสนอเมนู ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำทานเองที่บ้านได้

            ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย ขึ้นชื่อว่าปลาหลายๆ คนคงคิดถึงความคาวตามมา หากจะประกอบอาหารก็ต้องหาวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ มากลบกลิ่นคาวปลา และอีกเรื่องที่ทำให้เมนูปลารับประทานได้ยาก โดยเฉพาะในเด็กนั่นก็คือก้างปลานั่นเอง (ที่อาจติดคอน้องๆ หนูๆ ได้) สำหรับวันนี้เราจะมานำเสนอเมนูที่สามารถแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดได้กัน เราไปเริ่มกันเลย

ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย

วัตถุดิบ

1.ปลายี่สก

2.ผักคึ่นช่าย 2 – 5 ต้น

3.ขิง 1 – 2 แง่ง (แง่งประมาณหัวแม่มือ)

4.แป้งสำหรับชุบปลาทอดกรอบ

5.น้ำมันพืช

6.กระเทียม 2 – 5 กลีบ

7.ซีอิ้วขาว 1/2 ช้อนชา

8.น้ำมันหอย 1 ช้อนชา

อุปกรณ์

1.มีด

2.เขียง

3.กระทะ

4.ตะหลิว

5.จานสำหรับวางพักปลา

ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย

ขั้นตอนในการทำ ปลายี่สกผัดขิงคึ่นช่าย

กรรมวิธีการทำ

1.นำผักคึ่นช่ายมาล้างให้สะอาด ตั้งให้สะเด็ดน้ำสักครู่ แล้วหั่นตามขวางของลำต้น

2.นำขิงมาล้างให้สะอาด จากนั้นปอกเปลือกขิงด้วยมีด แล้วหั่นซอยเป็นเส้นๆ

3.นำปลายี่สกมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปชุบแป้ง (ส่วนนี้จะมีความชื้นรอบตัวปลาจากที่เราล้างปลา เรานำไปชุบแป้งแห้งๆ ได้เลย ถึงอย่างไรแป้งก็ติดตัวปลามาอย่างแน่นอน)

4.เอาปลายี่สกที่ชุบแป้งแล้วไปวางในกระทะ แล้วเติมน้ำมันพืชตั้งไฟให้ร้อน รอจนปลายี่สกชุบแป้งด้านที่หนึ่งสุก แล้วพลิกไปอีกด้าน (ควรทอดให้สุกทีละด้าน พลิกตัวปลาให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เนื้อปลาที่ยังไม่สุกแตกเป็นขุ้ย) ทอดปลายี่สกชุบแป้งให้สุกกรอบทั้งสองด้าน

5.แล้วเอาปลายี่สกชุบแป้งออกไปวางผึ่งไว้ให้เย็น

6.เมื่อปลายี่สกชุบแป้งเย็นลงหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดรับประทานได้สะดวก พร้อมกับแกะกางปลาไปด้วย (เผื่อเด็กๆ รับประทานด้วย ก้างปลาจะได้ไม่ติดคอเด็กๆ หรือผู้ใหญ่รับประทานเองก็จะได้รับประทานอย่างสะดวกไม่ต้องมาคอยเขี่ยก้างปลา)

7.เทน้ำมันออกจากกระทะ ให้ใช้กระทะนี้ต่อ

8.ปอกเปลือกและทุบกระเทียม

9.นำกระทะใส่น้ำมันพืชตั้งไฟ เมื่อน้ำมันพืชร้อน ใส่กระเทียมที่ทุบแล้วลงไป ทอดกระเทียมต่อจนหอม จากนั้นใส่ปลาที่เตรียมไว้ลงไป

10.ผัดคลุกเคล้าเล็กน้อย เพราะปลาสุกอยู่แล้ว

11.จากนั้นใส่ผักคึ่นช่ายที่เตรียมไว้ลงไป

12.เติมซีอิ้วขาว 1/2 ช้อนชา และ น้ำมันหอย 1 ช้อนชาผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน

13.เติมขิงลงไปผัดคลุกเคล้าอีกสักครู่ ปิดไฟ ตัดลงจานที่จัดเตรียมไว้รับประทานพร้อมข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งเมนูที่รับประทานปลายี่สกได้อย่างสะดวกแบบไม่กลัวก้างติดคอ

 รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด อาหารเพื่อสุขภาพ และวิธีทำอาหารที่สุดจะง่ายไปกับเรา

ขนมปังหน้าไข่ดาว
อาหารทั่วไป

เอาใจคนรักสุขภาพ ด้วยเมนู ขนมปังหน้าไข่ดาว ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้

ขนมปังหน้าไข่ดาว เมนูเรียกพลังงานยามเช้า สำหรับหนุ่ม ๆ หรือสาว ๆ ที่อยากกลายเป็นคนผอม ต้องเมนูนี้ ขนมปังหน้าไข่ดาว เมนูที่ให้คุณได้รับสารอาหารยามเช้าอย่างครบถ้วน เสริมสร้างสุขภาพและทำให้เราอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่ต้องอ้วน ซึ่งส่วนผสมต่าง ๆ ก็แถบไม่ต้องเตรียมอะไรให้วุ่นวาย แถมวิธีทำก็ยังแสนง่ายอีกตั่งหาก ซึ่งถ้าหากว่าใครคิดเมนูเพื่อสุขภาพไม่ออก หรือยังไม่รู้จะทำเมนูอะไรให้อิ่มท้องในยามเช้าก็อย่าลืมเมนู ขนมปังหน้าไข่ดาว เมนูนี้กันนะ

ขนมปังหน้าไข่ดาว

วิธีการทำ ขนมปังหน้าไข่ดาว ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์

เพราะเมนูนี้อุดมไปด้วยโปรตีนจากไข่ ให้คุณตื่นตัวแต่เช้าเต็ม ๆ พร้อมด้วยคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปขนมปัง ทำให้คุณไม่ต้องทานอะไรหนัก ๆ ตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังดีต่อสุขภาพ และยังได้สารอาหารที่ครบถ้วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่ง่าย แถมเครื่องมือในการทำอาหารเช้าเมนูนี้ยังไม่ต้องวุ่นวายกับการทำครัว เพราะเราจะใช้แค่ไมโครเวฟเพียงเครื่องเดียว ก็เรียบร้อย แถมยังสบาย สำหรับเช้า ๆ ที่เร่งรีบของทุกคนเลยทีเดียว ซึ่งถ้ารู้แล้วว่าเมนู ขนมปังหน้าไข่ดาว มีส่วนผสมอะไรบ้างตามมาจดสูตรและส่วนผสมกันได้เลย

ขนมปังหน้าไข่ดาว

ส่วนผสม ขนมปังหน้าไข่ดาว

ขนมปัง แนะนำให้เป็นขนมปังธัญพืชเพื่อวิตามีนต่าง ๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย 1-2 แผ่น

ไข่ไก่ 1 ฟอง หรอจำนวนที่คุณต้องการในมื้อเช้า

เครื่องเคียงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แฮม ผัก สลัด หรือผมไม้ ก็สามารถเลือกได้ตามที่ตัวผู้ทำต้องการใส่ในเมนูนี้

วิธีทำ

นำขนมปังที่เราได้เตรียมเอาไว้ นำมาเจาะเป็นรู้ตรงกลางให้รูปทรงสี่เหลี่ยม

จากนั้นก็ค่อย ๆ ตอกไข่ลงไประหว่างกลางที่ของขนมปังที่เราได้เจาะรู้เอาไว้ข้างต้น

จากนั้นก็นำเขข้าไมโครเวฟ ประมาณ 4-5 นาทีด้วยไฟแรงปานกลาง รอจนขนมปังเริ่มสุกและไขตรงกลางเริ่มเซ็ตตัวขึ้น จากนั้นก็ยกขึ้นมาจัดในใส่ในจาก ซึ่งถ้าใครอยากเพิ่มโปรตีนก็สามารถนำเนื้อสัตว์หรือสิ่งต่าง ๆ ตามที่ตัวเองชอบลงไปผัดในกระทะให้สุดและนำขึ้นมาวางไว้ด้านบนพร้อมผักเครื่องเคียงได้เลย

 รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด อาหารเพื่อสุขภาพ และวิธีทำอาหารที่สุดจะง่ายไปกับเรา

อาหารอีสาน
อาหารทั่วไป อาหารไทย

อาหารอีสาน อาหารท้องถิ่นที่หลายคนชื่นชอบ สามารถทำทานเองที่บ้านได้ง่าย ๆ

            อาหารอีสาน เป็นอาหารที่อยู่ทางภาคตะวันออกฉียงเหนือของประเทศไทย สมัยก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสนำฝั่งขวาของดินแดนแม่น้ำโขงไปเป็นเมืองขึ้น ดินแดนแถบนั้นเป็นอาณาจักรภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์กรุงสยามมาโดยตลอด เพราะฉนั้นศิลปวัฒนธรรม และประเพณีต่าง ๆ ก็อาจจะคล้ายคลึงเปรียบประหนึ่งเหมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้อง

ซึ่งอาหารหลาย ๆ อย่างของประเทศลาว ต่างก็ละม้ายคล้ายคลึงกับอาหารอีสานเป็นอันมาก ซึ่งอาหารอีสานได้ชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพไร้ไขมัน รสชาติเผ็ดร้อน จัดจ้าน ทานกับข้าวเหนียว บางครั้งอาหารอีสานบางชนิด เช่น ส้มตำ ก็เป็นอาหารอีสานที่มีความเผ็ด สามารถทานเป็นอาหารเย็น และลดความอ้วนให้แก่สาว ๆ ได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน

ขั้นตอนในการทำ อาหารอีสาน ง่าย ๆ ที่เราสามารถทำเองได้

            อาหารอีสานจานแรกที่ต้องการนำเสนอนั้นก็คือ “แกงอ่อม” เป็นแกงเผ็ดทางภาคอีสานที่มีผักเป็นส่วนประกอบ ส่วนโปรตีนนั้นสามารถใส่ได้ทั้งหมู ไก่ เนื้อ หรือปลา วิธีทำอาหารอีสานจานนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยาก เครื่องแกงที่ใส่ก็มี พริกสด พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง และข่า โขลกเข้าด้วยกัน ผัดใส่หม้อ เติมน้ำซุป ใส่เนื้อสัตว์ น้ำปลาร้า แล้วใส่ผักต่าง ๆ เช่นตะไคร้หั่นท่อน ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ ผักต่าง ๆ ที่ต้องการจะใส่แต่ที่ขาดไม่ได้คือผักชีลาว ปรุงรสใส่น้ำปลาร้าต้มสุกเพิ่มเติม น้ำปลา อาจจะใส่พริกสดเพิ่มความเผ็ด เมื่อเสร็จสรรพแล้วก็จัดเสิร์ฟได้เลย

อาหารอีสาน

            อาหารอีสานเมนูนี้เมื่อกล่าวถึงชื่อแล้วก็แทบจะไม่อยากทานเลยทีเดียวนั่นคือ “หมกขี้ปลา” ส่วนประกอบก็มีไม่มาก ได้แก่ ขี้ปลาสด พริกขี้หนูเม็ด ใบแมงลัก น้ำปลา และผงนัว (ผงชูรส) วิธีทำแค่เพียงนำส่วนประกอบทุกอย่างคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจัดใส่ใบตองห่อ ย่างกับไฟด้วยเตาถ่าน เมื่อสุกแล้วจัดเสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว อาจจะมีรสเผ็ดจากพริกขี้หนูเม็ด บางคนอาจฟังชื่อแล้วไม่อยากที่จะทาน แต่พอได้ทานแล้วอาจจะติดใจจนอยากที่จะทานอีกครั้งก็เป็นได้

อาหารอีสาน

            ถ้าจะถามว่ารู้จัก “กะปอม” ไหม หลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้จัก เพราะฉนั้นอาหารอีสานจานนี้จะยังไม่เฉลยว่า “กะปอม” คืออะไรในตอนนี้ แต่จะขอให้อ่านจนจบเสียก่อนถึงจะเฉลยในตอนท้าย อาหารอีสานจานนี้ชื่อ “ก้อยกะปอม” วิธีการทำนั้นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถเลยคือนำกะปอมที่ได้มา จะถลกหนังหรือไม่ก็แล้วแต่ จากนั้นนำไปย่างแล้วสับให้ละเอียด ใส่พริก กระเทียม ต้นหอม สาระแหน่ ข้าวคั่ว คนให้เข้ากันแล้วใส่มะม่วงเปรี้ยวเฉาะเป็นเส้นเหมือนเส้นมะละกอที่จะทำส้มตำ

จากนั้นปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล ผงนัว (ผงชูรส) ถ้าความเผ็ดยังไม่โดนใจ ก็เพิ่มด้วยพริกป่น ถ้าความเปรี้ยวยังไม่สาแก่ใจก็เติมน้ำมะนาว อาจจะใส่น้ำปลาร้าต้มสุกเพื่อความอร่อยอีกนิด ปรุงรสให้เผ็ดแซ่บและนัว ถ้ามีหมู่มีเพื่อนด้วยแล้วคงจะต้องมีไวท์วิสกี้ (เหล้าขาว) ก๊งด้วยแล้ว บอกเลยว่า “แซ่บ” ถึงตอนนี้แล้วคงจะตัองเฉลยแล้วว่ากะปอมก็คือ “กิ้งก่า” เป็นอย่างไรล่ะ อาหารอีสานแซ่บนัวถึงใจไหม

อาหารอีสาน

รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังกับทุกเมนูเด็ด อาหารเด็ด อาหารเพื่อสุขภาพ และ ก้อยขม สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดมานาน